วันศุกร์, 29 มีนาคม 2567

รีวิวทริปเที่ยวเกาหลีด้วยตัวเอง … กินตัวแตกกับงบคนละหมื่นนิดๆ

รีวิวทริปเที่ยวเกาหลีด้วยตัวเอง … กินตัวแตกกับงบคนละหมื่นนิดๆ

.

เกาหลีครั้งแรกของเรา …

ก่อนไปถามตัวอย่างว่า คิดถึงเกาหลี คิดถึงอะไร

คำตอบคือ…ว่างเปล่าจ้า   คืองงในงงมาก

นี่เรา….ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเกาหลีเลยเหรอ

 

ยิ่งพูดถึงแพลน …ยิ่งยาก  เพราะทริปนี้เราไปกับเพื่อนที่เขาไปมาแล้ว 3 – 4 ครั้ง

เราก็เลยทำตัวเป็นลูกทัวร์ที่ดีของเพื่อน  … คือไม่หาข้อมูลอะไรเลยจ้า  (จะรอดมั้ยรอดู)

แต่สิ่งที่เราทำคือ ….ไปหยิบซีรีย์มาดูจ้า    เรื่องที่เราเลือกหยิบมาดูคือ เลขาคิม

แล้วสุดท้ายเป็นไง …. เลขาคิมไมได้ช่วยอะไรเราเลย  นอกจากทำให้เราติดซีรีย์

และตกหลุมรัก “ซอจุน” แบบหัวปักหัวปำ

แต่ก็นั่นแหละ  … มันทำให้ทริปเกาหลีของเราดูมีแพชชั่นขึ้นมานิดนึง

 

เอาเป็นว่าไปเที่ยวพร้อมๆ กับเราเลยแล้วกันเนอะ

รีวิวนี้จะค่อนข้างละเอียด … มีทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และข้อมูล

เพื่ออรรถรสในการอ่าน  และสาระที่จะสามารถนำไปใช้ในการเดินทางได้จริงๆ เด้อค่า

 

 

 

 

ทริปนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 7 วัน 6 คืน

ออกเดินทางจากไทยด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ซึ่งมีบินตรงเกาหลีทุกวัน มีทั้งโซล และปูซาน

แต่เราเลือกบินไปลงโซล  แม้ว่าจะไปปูซานด้วยก็ตาม  ทำไมนะเหรอ   ก็เพราะเราขี้เกียจจองหลายรอบ  ทีเดียวจบเลยจ้า

และที่สำคัญของโซลมีให้เลือกถึงวันละ 3 ไฟลท์

สำหรับเรื่องเวลาบิน และราคานั้น ไปเบิ่งกันที่ ลิงค์นี้นะจ๊ะ

https://www.airasia.com/th/th/home.page

 

 

จากไทยไปถึงโซลนั้นใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าบินช่วงกลางคืน ก็หลับสบาย

แต่ถ้าบินช่วงกลางวัน  แนะนำโหลดหนักติดมือถือไปนะคะ  จะได้มีอะไรทำ

 

 

 

เมื่อไปถึงเกาหลีรีบเลยค่ะ  ปรับเวลาให้เร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง ไม่เช่นนั่น เหตุการณ์ตกรถ ตกเรือ ตกเครื่อง มีแน่นอน

ค่าเงินของเกาหลีเรียกว่าเงินวอน  ซึ่งค่าเงินโดยประมาณการให้คิดง่ายๆ ตอนใช้จ่าย

ก็ประมาณ 1,000 วอน  =  30 บาท  / 10,000 วอน =  300 บาท

เรื่องซิม หรือสัญญาณอินเตอร์เน็ตนั่น นุ้ยไม่มีคำแนะนำเกี่ยวกับสัญญาณของที่โน่น

เพราะส่วนใหญ่นุ้ยเลือกซื้อซิมไปจากไทย  ถ้าให้แนะนำอันที่ใช้ตลอดก็จะเป็น sim2fly ของ Ais ซื้อครั้งแรก 399 บาท ได้ 4 GB 8 วัน

 

 

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องซื้อเมื่อไปถึงที่สนามบิน คือ บัตร T-money

เป็นบัตรที่สามารถใช้จ่ายได้ทุกอย่างในเกาหลีจริงๆ ค่ารถ ค่าอาหาร มินิมาร์ท ร้านค้า ร้านคาเฟ่ ในห้าง  จ่ายได้หมด

แต่สำคัญกำเราจริงๆ คงเป็นเรื่องค่ารถค่ะ  ขึ้นลงสะดวกไม่เสียเวลา  ราคาที่นุ้ยซื้อที่สนามบินจะราคา 4,000 วอน

หรือจะซื้อไปจากไทย  ผ่านเว็บไซต์ ของ KKday ในราคาที่ถูกกว่าประมาณ 30 บาทก็ได้น๊า จากลิงค์นี้  https://goo.gl/28u9jb   

 

บัตรนี้ใช้ได้ตลอดไม่หมดอายุ  ซื้อครั้งเดียวเก็บไว้ยาวๆ ประมาณว่า ต่อไปนี้ฉันจะเที่ยวแต่เกาหลี (หรอ?)

หลังจากซื้อบัตรก็เติมเงินเข้าบัตรด้วยนะคะ  มีบัตรอย่างเดียว แต่ไม่เติมเงิน  มันไม่มีประโยชน์

ถ้าเงินหมด ก็สามารถเติมได้ตามตู้อัตโนมัติใน MRT  หรือมินิมาร์ทร้านไหนก็ได้

 

ถ้างั้นเราออกเดินทางกันเลย >>>>  Go gO GO

 

 

 

มาถึงเรื่องการเดินทางเข้าเมืองกันแล้ว  จากสนามบินอินชอน เข้าเมืองกัน ซึ่งจะมีหลายวิธี  และมีรถวิ่งตลอด 24 ชั่วโมง

แต่วิธีที่นิยมกันก็คือกนั่ง

1.  รถไฟด่วนของสนามบิน(Airport Railroad Express หรือเรียกสั้นๆว่า AREX)

แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วไปล่วงหน้าจากไทยถูกกว่าเกือบครึ่งเลย ที่ลิงค์นี้ค่ะ https://goo.gl/tm6wc2

ซึ่งรถไฟ จะมี 2 แบบคือ

  • AREX แบบ non-stop จะวิ่งตรงสู่ Seoul Satation แบบไม่จอดสถานีไหนเลย ซื้อตั๋วหน้าเคาร์เตอร์ราคา 9,500 วอน  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที https://goo.gl/tm6wc2  (ลิงค์ซื้อตั๋ว)
  • รถไฟสนามบินแบบธรรมดา หรือ All-Stop จอดทั้งหมด 11 สถานี  สามารถซื้อตั๋วด้วย T-money ได้เลย

 

2.  รถลีมูซีนบัส สนามบินอินชอน  วิธีนี้ก็ค่อนข้างได้รับความนิยมค่ะ วิ่งผ่านย่านดังๆ ของโซล  เช็คราคาตั๋วกันได้ที่นี่ และสามารถจองไปได้จากลิงค์นี้เลยค่ะ

https://goo.gl/nGYPpw

 

ซึ่งรอบนี้นุ้ยเลือกเดินทางเข้าเมืองกันด้วย AREX นั่นเอง แบบ Non-stop  วิ่งยาวเข้าโซลสเตชั่นเลยจ้า

 

 

 

 

 

 

ภายในรถก็จะประมาณนี้ค่ะ  รถจะมีตลอดทั้งวัน

 

 

 

มาพูดถึงแพลนแบบคร่าวๆ ที่พอรู้จากเพื่อนสักนิด

คือทริปนี้เราจะเที่ยวทั้งโซลและปูซาน  โดย 3 วันแรก เราจะเที่ยวปูซานก่อน  แล้วค่อยกลับมาลั๊ลล๊าต่อที่ในโซล

เมื่อนั่งรถ AREX มาถึง Seoul Station แล้ว  พวกเราออกเดินทางต่อไป ปูซานเลยในทันที

เราเลือกเดินทางด้วย KTX รถไฟความเร็วสูง   โดยใช้พาส  Korea Rail Pass

แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วไปก่อนเลยค่ะ ราคาถูกกว่า และไม่ยุ่งยาก นุ้ยซื้อผ่าน KKday เหมือนเดิม  https://goo.gl/ZWzTfv

ตั๋วจะมีหลายแบบ เราสามารถเลือกตั๋วแบบกำหนดวันใช้งาน 1, 3, 5, และ 7 วันได้

ตอนใช้ก็แค่ปริ้น Voucher ที่เขาส่งมาให้ แล้วก็นำไปยื่นที่เคาเตอร์ค่ะ ง่ายมาก   เราสามารถจองที่นั่งผ่านได้ทางเว็บไซต์ ของ KTX

หรือไปจองที่นั่งที่เคาร์เตอร์ได้เลย    แต่ห้ามลืมปริ้นเอกสารไปนะ

 

 

หลังจากจองที่นั่งแล้วนั่น เราจะได้เป็นตั๋วมาแบบนี้ ใช้ได้ต่อเที่ยวนะคะ

ขากลับ ค่อยจองที่นั่งอีกรอบ  ตอนนี้จองขาไปก่อน

 

 

แวะเติมพลัง  เตรียมอาหารไปกินบนรถกันสักหน่อย เพราะใช้เวลาในการเดินทางหลายชั่วโมงเลยทีเดียว

 

 

 

 

ภายในรถจะเป็นแบบนี้ บางขบวนจะมีช่อง USB ไว้สำหรับชาร์ตแบตมือถือด้วย

 

เวลาผ่านไปพักใหญ่ นานจนจำไม่ได้ว่าหลับๆ ตื่นๆ ไปกี่รอบ ในที่สุดเราก็มาถึงปูซานกันแล้ว

เราจองที่พักกันไว้ใกล้ๆ สถานีเลย  เมื่อมาถึงก็เดินทางมาเพียงนิดเดียว

ที่พักของเราที่ปูซาน ชื่อ Busan View Hotel  นอนที่นี่ทั้ง 2 คืน จองมาในราคาคืนละ 1,9++ ประมาณสองพันละกัน

 

 

ห้องขนาดกำลังดี  ถือกว้างเลยล่ะ  ไม่เล็ก ไม่แคบ ไม่อึดอัด

 

สำหรับห้องน้ำเรียกได้ว่ากว้างเลยทีเดียว มีอ่างด้วย นอนแช่กันยาวๆ ไปก่อนเข้านอน

 

บริเวณล็อบบี้ก็จะมีพื้นที่ส่วนกลางไว้ให้ด้วยค่ะ ตามรูปเลย

 

หลังจากเก็บกระเป๋ากันเรียบร้อยแล้ว  ได้เวลาออกไปเริงร่ากันแล้ว  จริงๆ คือหิวมาก

ที่แรกที่เราไปคือ ตลาดปลาปูซานนั่นเอง  หรือจะเรียกว่าตลาดสด ตลาดซีฟู้  เรียกว่าอะไรดีอ่า  ตลาดปลาแล้วกันเนอะ

มันชื่อว่า ตลาดปลากัลชี   Jagalchi Market

นั่ง MRT มาลงที่ สถานี Jagalchi ทางออก 10    เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับตลาดที่เต็มไปด้วยซีฟู้ด

แบบเยอะมาก หลากหลายมาก  บางอย่างก็น่ากิน  บางอย่างก็น่าตกใจ

 

 

ในที่สุดเราก็เลือกร้านนี้    อย่าถามหาเหตุผล  ….    เพราะไม่มี

แค่เดินๆ มาแล้วเหนื่อย ก็เลยเดินเข้าร้านเลย

 

เมนูรายการอาหารตามจะว่าไปราคาก็ไม่ได้ถูกเลยนะ  แต่ก็ไม่ได้แพงไป

 

บรรยากาศภายในร้าน

 

เครื่องเคียงมาเสิร์ฟก่อนเลยจ้า   นี่คือเสน่ห์ เรื่องร้านอาหารของเกาหลี  เพราะทุกร้านจะมีเครื่องเคียงใหม่ แถมเติมได้ตลอดด้วย

 

ปลาย่าง อร่อยดีเนื้อนุ่ม  หรือเราหิว….  เริ่มไม่แน่ใจ

 

สาระพัดหอยก็อร่อย

 

ส่วนซุปหม้อนี้คอนเฟิร์มความอร่อย  ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอากาศที่ค่อนข้างหนาว

พอได้ซดน้ำซุปร้อนๆ แล้วมันฟิน

 

ปลาหมึกผัดเผ็ดที่ไม่เผ็ด แต่ก็อร่อยนะ

 

สุดท้ายเมนูยอดฮิตที่มาแล้วต้องกินนั่นคือ ซันนักจี  หรือปลาหมึกสดๆ ที่ถูกสับแล้วยังคงกระดึ๊บๆ นั่นแหละ

เขาว่ากันว่าคนเกาหลีตายเพราะเมนูนี้ทุกปี  แต่เราก็ยังอุส่ามากินกันเนอะ

ตอนกินต้องคลุกน้ำมันงาเยอะๆ นะจะได้ลื่นไม่ติดคอ  และเคี้ยวให้ละเอียดเด้อ

เพื่อนๆ ชอบกันใหญ่  ส่วนเราสองคนนั้น คำเดียวพอจ้า กินแค่ให้รู้  กลัวตายที่เกาหลี 555

 

กินอิ่มแล้วเราไปต่อกันที่ ถนนนัมโพดง  Nampodong Street

การเดินทางรถไฟใต้ดิน ลงสถานี  Nampo-dong Station

ย่านนี้คึกคักพอตัวเลยค่ะ  มีร้านเสื้อผ้า รองเท้าเยอะมากๆ  และขอบอกว่าราคาหลายร้านหลายแบรนด์ ถูกกว่าในโซลนะคะ

นี่ยังนั่งเสียใจว่าทำไมไม่ยอมซื้อจากปูซาน

 

 

 

เดินมาเรื่อยๆ ช้อปมาเรื่อยๆ จนถึงโซนสตรีทฟู้ด  ยิ้มหน้าบานเลยจ้า

นุ้ยชอบอะไรแบบนี้ ชอบลอง ชอบซื้อ  ชอบชิม  ราคาไม่ได้แพงด้วย

 

 

ขนม โฮต็อก (Hotteok / Hoddeok)

นุ้ยว่าอร่อยดีน๊า ได้ลองชิมไป 2 ร้าน  ร้านทั่วไป กับร้านดัง

พบว่าร้านทั่วไปอร่อยกว่า  เพราะฉะนั้น ถ้าไปเกาหลี อยากกินร้านไหนซื้อเลยค่ะ

 

 

 

ไก่ย่างแบบนี้ดูธรรมดา แต่มันกลับอร่อย  เนื้อไก่นุ่มสุดๆ  รสเผ็ดมากด้วย

 

 

 

 

วันที่ 2

วันนี้เป็นวันที่เราจะได้เที่ยวปูซานกันแบบเต็มๆ วัน

ประเดิมกันด้วย นัด 8 โมงเช้า  ทุกคนพร้อมออกเดินทางตอน 9 โมง เป็นทริปที่โคตรชิลล์  ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก

 

 

 

วันนี้เราจะไปหมูบ้านคัมชอน(Gamcheon Culture Village) กันค่ะ  เป็นหมูบ้านวัฒนธรรม

หรือที่ใครหลายๆ คนเรียกกันว่าซานโตรินี่เกาหลีนั่นเอง

 

สำหรับการเดิน อาจจะดูงง ๆ แต่ไม่ยากค่ะ  แค่นั่งรถไฟใต้ดิน ต่อด้วยรสบัส

โดยเรานั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่  Toseong Station  Exit 6  เดินตรงไปเรื่อยๆ เจอสี่แยกเลี้ยวขวา

เจอป้ายรถบัสยืนรอเลยจ้า สาย 2 , 2–2 , 1–1   ลงที่  Gamjeong Elementary School

 

นี่ๆ รถคันนี้เลย  ถ้ามีที่นั่ง ให้รีบนั่งเลยนะ เพราะทางขึ้นไปด้านบนค่อนข้างชัน  ยืนอาจจะล้มได้

 

นั่งรถมาแปบเดียว ก็ถึงแล้วค่ะ

โหววว  มันสวยมาก  บ้านหลากสีซ้อนกันเป็นเนินเขาเลย  ต้นบอกว่านี่คือหมู่บ้านลูกกวาดชัดๆ สีสันสดใน

 

 

 

 

นอกจากจุดถ่ายรูป ที่ใครๆ ก็ถ่ายแล้ว  เดินเข้าไปด้านในเรื่อยๆ  มีมุมน่ารัก มุ้งมิ้งเต็มไปหมด

ถ่ายกันเพลินมาก  ถ่ายจนต้องหันมาถามกันว่า  นี่เราถ่ายไปทำอะไรเยอะขนาดนี้

 

 

 

 

มีร้านคาเฟ่น่ารักๆ เพียบ     คุยกับต้นว่า เราคงต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง และต้องนอนที่นอนนี้ด้วย

มันเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง  ที่ทำให้เรารู้สึกอยากกลับไปอีก   ว่าแต่ที่นี่มันมีที่พักป่าวน๊า

 

 

 

 

 

ตรงนี้คือมุมยอดฮิต  ถ่ายกับเจ้าชายน้อย

อาจจะมีเรื่องเล่าที่นุ้ยไม่รู้  และไม่หาข้อมูลเพิ่มด้วยนะ

หลายครั้งที่นุ้ยอาจจะพลาดอะไรไป เพราะไม่อินกับข้อมูล  แต่จะอินกับความรู้สึกของตัวเอง ว่าฉันจะทำแบบนี้ ชอบแบบนี้

มากกว่าการทำอะไรตามคนอื่น

 

และแล้วฝนก็มาจ้า  โอ๊ย …. ฉันมีเวลาเที่ยวในปูซานแค่วันนี้นะ ฝนจะตกทำไม

 

สุดท้ายก็นั่งหลบฝนเป็นชั่วโมง

 

เมื่อฝนเริ่มซา  ปลายทางต่อไปคือทะเล  ชายหาดแฮอึนแด Haeundae Beach

เพราะเขาว่ากันว่า  ฟ้าหลังฝนมักจะสวย   ทะเลก็คงจะสวยเช่นกันเราคิดแบบนั้น   …….

แต่…… คุณพระ

มันตกหนักกว่าเดิมจ้า    แล้วยังไง ทำอะไรได้  หาร้านข้าวกินเลยจ้า

ต้องบอกการเดินทางกันก่อนสักนิด  นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่สถานี  Haeundae Station  Exit 5 เดินทางไปหาดเรื่อยๆ

ถนนทางฝั่งซ้ายมือ  จะเจอร้านข้าวที่เราแวะกิน

 

 

เมนูที่นุ้ยสั่งคือ บิบิม  หรือที่เรามักเรียกกันว่าข้าวยำเกาหลีนั่นแหละ

 

 

ของต้นเป็นซุปอะไรสักอย่าง  ต้นบอกเหมือนต้มเล้งที่ไม่แซ่บ

 

หลังจากกินเสร็จ  ฝนก็ยังคงตกไม่หยุด   ก็เลยตัดสินใจกันว่ากลับเถอะ  อยู่ไปก็ไม่รู้จะทำอะไร

จะให้ไปยืนดูทะเลตอนฝนตกมันก็ไม่ใช่

…สุดท้าย กินต่ออีกร้าน …คืองงในความหิว และความกินจุของทริปนี้มาก  ทุกคนสมัคคีกันในเรื่องของกินมาก

ร้านนี้เลย  ร้านขาย Eomuk ออมุก ร้าน GOREASA   ร้านใหญ่มาก เพื่อนที่มาด้วยกันบอกว่าร้านนี้ดังและอร่อยมาก

ถือเป็นร้านเกาแก่ เพราะเปิดมาตั้งแต่ปี 1963

 

ออมุกคืออะไร  นุ้ยว่ามันคล้ายๆ ลูกชิ้นปลาแท่งยาวๆ เสีบบไม้ มีหลายรสชาติ

และร้านนีให้เลือกเยอะมาก  ก่อนตัดสินใจซื้อ  ชิมจนเกือบอิ่ม

 

ซื้อเสร็จก็มานั่งทานในร้านได้ มีจานมีไมโครเวฟให้เราอุ่นได้เองเลย สะดวกดีแท้

 

 

วันที่ 3

เราจบวันที่ 2 ไปแบบงงๆ เพราะฝนตกหนักมาก หลังจากกินออมุกเสร็จ ก็มาเดินเล่นช้อปปิ้งที่ย่านนัมโพดงกันต่อ

และวันนี้จะเป็นที่เรากลับเข้าไปโซลแล้วค่ะ  วันสุดท้ายในปูซานของทริปนี้แล้วน๊า

ซึ่งเราเดินทางกลับกันในช่วงบ่าย  เช้านี้ยังคงพอมีเวลาให้ไปได้สักจุดสองจุด   พวกเราเลือกไปปูซานทาวเวอร์กันค่ะ

โดยนั่ง รถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Nampo-dong Station  ทางออก 1 

 

 

 

 

 

แต่จู่ๆ พวกเราก็พากันเดินไปไปออกทางประตู 6 เพราะดูในแผนที่แล้ว ติดกับอ่าวอะไรสักอย่าง

 

พอมาถึง อารมณ์ก็คล้ายๆ กับอ่าววิคตอเรียที่ฮ่องกงเลยจ้า  ชิลล์ดีนะในวันที่อากาศดีแบบนี้

 

เดินเล่นจนหนำใจ   แล้วพวกเราก็พากันเดินกลับไปยัง ปูซานทาวเวอร์ Busan Tower

แน่นอนเลยจ้า ว่าพวกเราจะต้องขึ้นหอคอยไปรอรัก  ไม่ใช่ๆ ขึ้นหอคอยไปดูวิวเมืองปูซานแบบ 360 องศา

ที่นี่จะเปิดเวลา 9.00 – 22.00 น.   มีค่าเข้าคนละ 8,000 วอน   ราคาสูงอยู่เหมือนกันนะนี่

 

 

 

ซื้อตั๋วกันก่อน  สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตุได้ในเกาหลีคือ เขาพยายามลดการใช้กระดาษ แต่ก็ยังคงใช้อยู่

อย่างซื้อตั๋วรถไฟ หรือตั๋วเข้าสถานที่ต่างๆ จะออกมาเป็น 1 ใบ สำหรับทุกคน

ที่นี่ก็เช่นกัน เราซื้อตั๋วสำหรับคน ก็ได้มาเพียง 1 ใบและเขียนไว้ว่า 6 คน

 

 

เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนวิวก็จะว้าวๆ ประมาณนี้เลย

แต่จริงๆ  ว้าวตั้งแต่ในลิฟต์แล้วนะ  แต่นุ้ยไม่ได้ถ่ายมา  มัวแต่ว้าวอยู่นั่นเอง

 

 

 

เมืองนี้เขาชอบความสีสันเนอะ เพราะอยู่ด้านบนนี้ ทำให้เราเห็นบ้านสีพาสเทลเต็มไปหมดเลย

ตอนแรกคิดว่ามีแค่หมู่บ้านกัมชอน แต่ตอนนี้ทั้งเมืองกลายเป็นพาสเทลไปหมดเลย

 

 

เดินเล่นดูโน่นนี่นั่นกันอยู่พักใหญ่ แล้วก็ชวนกันลง ตอนขาลงต้องเดินลงไปประมาณ 1 ชั้นก่อนเข้าลิฟต์  ก็แอบคิดในใจว่าเราขึ้นมาดูวิวจริงๆ

แต่พอลิฟต์เปิดมาเท่านั้น  เฮ้ย น่ารักมาก   มีมุมถ่ายรูปเพียง เกาหลี มีความน่ารักมุ้งมิ้งซ่อนอยู่เต็มไปหมด

 

 

ในห้องนี่ก็ชอบ  เป็นห้องกระจกเล็กๆ  แต่ทำเราว้าวมาก

แสงและลายจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

 

ห้องสามิติ หรือสี่มิติ  โอ๊ย จะกี่มิติก็ช่าง แต่สีสันสดใสมาก ชอบๆ

เหมือนเรากำลังนั่งดูพลุในงานฉลองปีใหม่เลย

 

 

ช่วงเวลาครึ่งผ่าน ทำไมมันผ่านไปเร็วขนาดนี้ พวกเรารีบกลับที่พัก เอากลับกระเป๋า และเดินทางกลับเข้าโซล ในทันที

และโชคดีที่มีที่นั่งว่างสำหรับพวกเรา   แนะนำว่าเพื่อนๆ จองที่นั่งไว้ก่อนก็นะคะ  เพราะมีโอกาศที่จะไม่ได้ไปรอบที่เราต้องการ

-9

 

 

 

2 ความคิดเห็น

ที่โซลมีแต่รูปเหรอครับ? ไม่มีข้อมูลอะไรเลย ลูกเพจจะได้รู้ว่าไปที่ไหน ทำอะไรบ้าง เผื่อจะได้ก็อปปี้ทริปครับ

รีวิวทริปปูซานได้น่าสนใจมากๆค่ะ เเล้วที่โซลล่ะคะรีวิวเพิ่มอีกได้คะ เผื่อหมดโควิดจะได้ไปตามรอยบ้างอะไรบ้าง