วันพฤหัสบดี, 28 มีนาคม 2567

ห ล ง รั ก……….พ ะ เ ย า

 

ก่อนอื่นคงต้อง  สวัสดีปีใหม่ 2558 ครอบครัวบลูแพลนเน็ตนะคะ

เวลา…เดินทางผ่านมา ผ่านไป เร็วเสมอ จนบางครั้งเราแทบไม่ได้ตั้งตัว
หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลากหลายเรื่องราว สุข ทุกร์ ตื่นเต้น เฮฮา ปะปนกัน
หลายคนบอกว่า  ปีนี้ฉันโคตรเฮง
บางคนบอกว่า  ปีนี้ฉันโคตรซวย
คนโน๊นบอกว่า  ปีนี้ฉันทำความฝันสำเร็จ
คนนี้บอกว่า  ปีนี้ฉันหมดแรงแล้ว  ขอเริ่มใหม่ปีหน้านะ
นุ้ยขอให้ตลอดปีที่ผ่านมาเป็นปีแห่งการเรียนรู้ และกอบเก็บประสบการณ์ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์  และขอให้ปีใหม่สำหรับทุกคนมีแต่ความสุข ความก้าวหน้า ความแข็งแรง ไม่มีโรคภัยนะคะ

สำหรับวันนี้นุ้ยมีรีวิวมากฝากส่งท้ายปีกันอีกหนึ่งรีวิว เพราะเชื่อว่าช่วงเวลาสิ้นปีแบบนี้หลายคนต้องวางแผนออกไปเที่ยวกันแน่ๆ
และถ้าหากใครกำลังจะเดินทางไปจังหวัดพะเยา …นุ้ยเชื่อว่ารีวิวนี้คงจะมีประโยชน์ไม่น้อยเลยละคะ

สถานที่ท่องเที่ยวในรีวิวนี้
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า, ภูลังกา, วนอุทยานไดโนเสาร์แก่งหลวง, กว๊านพะเยา, ศูนย์หัตกรรมพื้นบ้านผักตบชวา และวัดอนาลโย

สำหรับรีวิว +++หลงรัก…พะเยา+++
เป็นรีวิว SR ที่ได้รับการสนับสนุน จากททท.เชียงราย-พะเยา, สายการบินแอร์เอเชีย และบริการรถเช่าจาก AVIS

การเดินทางครั้งนี้นุ้ยใช้เส้นทางเดิมบินตรงจากภูเก็ต สู่เชียงใหม่  ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย
ปัจจุบันมีบินตรง ภูเก็ต – เชียงใหม่ ถึงวันละ 3 ไฟท์

แนะนำช่องทางการเช็คอินคะ หากไม่มีโหลดกระเป๋า ไม่อยากรอคิวเช็คอินทางเว็บได้เลยคะ  หรือตู้เช็คอินแบบนี้สะดวกมากๆ คะ

สำหรับอาหารบนเครื่องนุ้ยเลือก ลาซานญ่าไก่  เป็นเมนูที่สั่งบ่อยมาก  รสอร่อย กลิ่นเครื่องเทศไม่แรง
หากอยากทานเมนูนี้หรือเมนูอื่นๆ แนะนำให้สั่งล่วงหน้านะคะ  เพราะเมนูบนเครื่องมีเพียงไม่กี่เมนู แต่ถ้าสั่งล่วงหน้ามีให้เลือกเพียบเลยคะ

ครั้งนี้นุ้ยเลือวีโก้ 4 ประตู  เพราะต้องการรถที่บึกบึน เหมาะกับการขึ้นเขา และขนของเยอะ

นุ้ยเริ่มจากเชียงใหม่สู่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า
ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง
แต่อยากแนะนำว่าถ้าใครสะดวกที่จะบินไปลงที่สนามบินเชียงราย นุ้ยแนะนำให้เดินทางจากเชียงรายจะสะดวกและใกล้กว่าเยอะเลยคะ

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า  ตั้งอยู่ที่  บ้านปังค่า ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา

ทางเข้าไปยังศูนย์ฯ อาจจะไม่สะดุดตาเท่าไหร่ ให้สังเกตุดีๆ นะคะ

ระหว่างจากทางเข้าไปยังศูนย์ เป็นเส้นทางที่สวยมากท้องฟ้า ป่า เขา ลมเย็นมากๆ นุ้ยขับรถเปิดกระจกตลอดทางเลยละ

จากทางเข้า ขับรถเข้าไปประมาณ  5 กิโลเมตร ก็ถึงแล้วละคะ
จะเจอป้ายนี้ก่อนถึง ประมาณ สัก 500 เมตร
และเจอป้ายร้านกาแฟ ตรงบริเวณทางเข้าศูนย์เลยคะ
ขับรถเข้ามาเราจะเจออาคารนี้เป็นอาคารแรก ซึ่งเป็นทั้งห้องอาหาร ห้องสัมนาคะ
สำหรับที่นี้ จะแวะมาเที่ยวเยี่ยมชมโครงการ หรือจะมาพักค้างคืน ก็มีห้องไว้บริการนะคะ
แต่คืนนี้นุ้ยพักที่นี้คะ  นุ้ยโทรมาจองล่วงหน้าเป็นบ้านหลักเล็ก  สำหรับ 2 คน แต่ขอเพิ่มที่นอนเสริม รวมแล้ว 800 บาท

นุ้ยพักหลังนี้คะ
เรามาสำรวจบ้านพักกันก่อนดีกว่า  ถือว่าใหญ่ และกว้างมากเลยทีเดียวคำ สำหรับราคา 800 บาท
ด้านหน้าจะเป็นระเบียงขนาดใหญ่ ให้นั่งดูวิวทิวทัศน์ รับลมหนาว  และขอบอกว่าถ้าต้องการดูพระอาทิตย์่ลับเหลี่ยมเขา ไม่ต้องไปไหนไกลเลยคะ นั่งหน้าบ้านนี่แหละ เด็ดสุดเห็นเต็มตา เลยละคะ

ข้าวของมีครบ เตียง หมอนผ้าห่ม ตู้เสื้อผ้า ทีวี โต๊ะเครื่องแป้ง
และยังมีครัวให้อีกด้วย แต่ไม่มีเตาแก๊สนะ มีแค่ซิงค์ และเครื่องดื่ม กระติกน้ำร้อน
ห้องน้ำกว้างมีเครื่องทำน้ำอุ่นไม่ต้องกลัวหนาวนะจ๊ะ

เก็บข้าวของเรียบร้อย ออกไปนั่งเล่น นั่งคุยกันที่ร้านกาแฟ
ร้านกาแฟร้านนี้ก็เป็นของศูนย์พัฒนาฯ  มีเจ้าหน้าที่ของศูนย์ คอยช่วยกันดูแล นุ้ยเลยได้มีโอกาสพูดคุยกับพวกพี่ๆ ถามคำแนะนำโน่นนี่นั้น

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า  ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2530 โดยการเริ่มจัดระบบอนุรักษ์ดิน น้ำ และจัดสรร ที่ทำมาหากินให้กับราษฎร และส่งเสริมให้ปลูกพืชเมืองหนาว
อีกทั้งยัง ค่อยดูแลรับซื้อผลิตภัณฑ์ราษฎร จากาชาวเขา ซึ่งราษฎรส่วนใหญ่จะเป็นชาวเขาเผ่าเย้า และม้ง
อย่างกระเป๋าพวกนี้ก็เป็นสินค้าจากชาวเขาที่นำมาวางขายที่ศูนย์


หลังจากคุยโน่นนี่นั้น อยู่พักใหญ่ พี่ๆ แนะนำให้ไปดูการคัดพริกหวาน  ซึ่งวันที่นุ้ยไปพักเป็นที่เก็บเกี่ยวพริก ชาวเขานำมาส่งที่ศูนย์ฯ

ทุกคนช่วยกันขยันขันแข็ง เช็ดทำความสะอาด คัดไซต์ และนี่คือผลิตภัณฑ์โครงการหลวงที่เราซื้อๆ กัน
สดๆ จากแปลกเลยคะ เก็บ คัด และขนส่งภายในวันนั้น  รับรองได้ว่า ได้ของสดแน่นอน

นางแบบพริกหวานมาเอง ลูกใหญ่มากๆ
ชีวิตที่นี้ดูค่อนข้างเรียบง่าย ทุกคนดูมีความสุข ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องแข่งขัน แค่ทำหน้าที่ของตัวเอง ให้ดีที่สุด ทำด้วยใจรัก
ทำกับครอบครัว  แค่นี้สินะที่เขาเรียกว่าความสุขของการพอเพียง  ดูทุกคนอยู่กันเป็นครอบครัว ไม่ต้องดิ้นรน แต่เกิดรอยยิ้มบนหน้าทุกคน
มาคัดพริก ก็พาเจ้าตัวเล็กมาด้วย  ตัวเล็กแค่นี้ แต่คือตัวสีสันเลยนะขอบอก
นั่งเฮฮากันอยู่พักใหญ่  พูดกันรู้เรื่องบาง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็สนุกไม่น้อย
นุ้ยไปต่อที่แปลงดอกไม้  เจอสีแดงแบบนี้เข้าไปว๊าววววววว มันสวยมาก

และยังมีแปลกดอกลิลลี่ มี2 สี ขาว และชมพู กลิ่นหอมมาก  แต่แอบเสียดาย ที่พึ่งตัดดอกออกไป เหลือแต่ดอกตูมๆ

แปลงเพราะผักก็มีน๊า  แปลงนี้เป็นคะน้าฮ่องกง
ต่อจากนั้นนุ้ยขับรถขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงวนอุทยานภูลังกา ซึ่งตอนแรกนุ้ยตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดเขาภูลังกา
ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ เราสามารถขับขึ้นไปได้ แต่รถควรเป็นรถกระบะ โฟวิล ประมาณ 3.5 กิโลเมตร  แล้วเดินต่ออีกสองร้อยเมตร
ไม่รอช้าคะ รีบเลย แต่คุณรู้มั๊ยว่าทางโหด และน่ากลัวมาก แนะนำนะคะ ว่าควรใช้รถกระบระจริง เก๋งห้ามโดยเด็ดขาด  และอีกหนึ่งคำแนะนำควรติดต่อเจ้าหน้าที่ที่วนอุทยานให้พาขึ้นไป อย่าทำเก่งแบบนุ้ย เพราะทางเล็กและแคบมาก  เพราะเหตุนี้นุ้ยจึงไม่รอพระอาทิตย์ตก กลัวขับลงเองไม่ได้
แต่เมื่อผ่านเส้นทางนั้นมาจะมาเจอจุดจอดรถลานหญ้าโล่งๆ แบบนี้
เดินต่อไปอีกประมาณ 200 เมตร เราจะเจอภาพแบบนี้  หายเหนื่อยเลยคะ
หากเราขึ้นมาบนยอดเขาแล้ว เราจะสามารถมองเห็นได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกเลยคะ
ด้านบนอากาศดีมากๆ เสียงที่พัดผ่าน ยังกับเสียงบรรเลงเพลง ท่ามกลางธรรมชาติ
บรรยากาศตอนนี้ฟินมากๆ สันเขาที่มีเพียงสองเรา แต่เราก็ต้องรีบลงกลับไปด้านล่าง  ก่อนฟ้าจะมืดไปกว่านี้

ลงมาจากยอดเขา  นุ้ยก็ขับรถไปเรื่อยตามเส้นทาง เพื่อกลัาบไปยังศูนย์  แต่ก็ยังแอบเล็งมุมสวยๆ เพื่อนถ่ายรูปพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา
ถนนเส้นนี้สวยมากจริงๆ คะ
สิ่งที่พบเจอเยอะมากตามเส้นทางคือต้นข้าวโพดแห้ง  พูดได้เลยว่า เกือบทั้งเขา

และแล้ว ก็มาได้มุมนึง ของถนน รอดูพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา แสงอุ่นๆ ยามนี้ เข้ากันได้ดีกับลมหนาวที่พัดมา
เชื่อได้เลยว่าสำหรับคนที่ชอบการพักผ่อนแนวธรรมชาติ สัมผัสชีวิตผู้คนในท้องที่ ต้องชอบที่นี้แน่ๆ
ที่นี้สวยทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเช้า จะเย็น ทุกอย่างลงตัวมากๆ

และทิ้งท้ายแสงสีส้มริมถนนด้วยภาพนี้ก่อนขับรถกลับเข้าศูนย์

ปรากฎว่ามาถึงที่พัก พบเจอว่าเอิ่มมมมม  หน้าบ้านเรามันเห็นอาทิตย์ตกดิบพอดีนี่น่า  แล้วฉันจะดินร้นไปดูข้างนอกทำไมละนี่
แต่มันก็คนละบรรยากาศเนอะ
มาถึงปุ๊บก็เริ่มมื้อเย็นกันเลยคะ เพราะหิวมากๆ อาหารนุ้ยได้บอกพี่ๆ ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะทานอาหารเย็นที่ศูนย์
อาหารสำหรับวันนี้ จึงมี 3 เมนูดังนี้จ้าเมนูแรก ถั่วหวานผัดน้ำมันหอย  อร่อยเด็ดตรงที่สดมากๆ หวานกรอบ

เมนูที่สองต้มยำไก่บ้าน นั่งซดน้ำร้อนๆ กลางลมหนาวอร่อยไม่น้อย

และเมนูที่สามผัดผักคะน้าฮองกง สดๆ จากแปลก ก้านอ่อนหวานกรอบ

ปิดท้ายด้วยเสาวรส ไปกัน 3 คน ไม่มีใครกินเลยสักคน จนนุ้ยรู้สึกเกรงใจว่าพี่ๆ อุตส่านำมาให้ลองกิน จากไม่ชอบ กลับรู้สึกว่ามันก็อร่อยดีนะ
หวานๆ อมเปรี้ยวนิด ๆ กินซะเกือบหมดเลย

เช้าอีกวันเหลือบมองไปเห็นแสงเช้าสาดส่องลงมาตรงแปลกสตอเบอรี่ อย่ารอช้า  รีบวิ่งลงไปมันสวยมากๆ เลยคะ
มีคุณป้าเดินเก็บสตอเบอรี่อยู่ สาวนุ้ยรีบส่งเสียง
ป้าจ้า นู๋ขอถ่ายรูปหน่อยนะ
ป้าเดินเข้ามาหาบอกว่าถ่ายเลย แล้วส่งตะกร้าสตอเบอรี่ให้ถ่ายด้วย  ใจดีสุด

และที่ขาดไม่ได้เลยคงเป็นฟักทองยักษ์  พันธุ์ บิ๊กมูน  มันใหญ่มาก มีแปลกด้วย แต่นุ้ยถ่ายตรงบริเวณหน้าบ้าน

ต้นมะเฟืองข้างบ้านเปรี้ยได้ใจสุด สามารถเก็บกินได้เลย
ได้เวลาอาหารเช้า เป็นข้าวต้มกระดูกหมู หมูสับ กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง เอาเป็นว่าข้าวต้มรวมมิตรแล้วกันเนอะ
สำหรับ 2 วัน 1 คืน ในการพักที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า ได้รับความรู้และความสุขมากมาย
ค่าใช้จ่ายตามนี้
เด๋วเราจะไปพักต่อกันที่ภูลังการีสอร์ท ซึ่งถ้าใครไปพักภูลังการีสอร์ท สามารถแวะเข้ามาเที่ยวชมที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงได้เลยคะ เพราะเป็นทางแยกเข้ามาเพียงประมาณ 5 กิโลเมตรเท่านั้น
หรือถ้าให้นุ้ยแนะนำอีกอีก เราสามารถพักที่ศูนย์ฯ ได้เลย  แล้วตอนเช้าขับรถไปดูทะเลหมอก เพราะเราสามารถเห็นทะเลหมอกได้จากริมถนนเลยคะ
เพราะมุมที่นุ้ยถ่ายมาทั้งหมด เป็นจุดชมวิวตรงโค้งริมถนน  และระยะทางเพียง 25 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
เช้าวันนึงนะภูลังกา สายหมอกพริ้วไหว

สายลมหนาวกระทบกาย

นุ้ยเคยได้ยินชื่อนี้มานานมากแล้ว เคยจะมาๆ อยู่ก็หลายรอบ แต่ก็พลาดโอกาสทุกครั้ง เส้นทางไม่สอดคล้องกับโปรแกรมบ้างละ
เพื่อนไม่อยากไปบ้างละ…แต่ณ วันนึง ที่เลือกเดินทางเอง เลิกหาข้ออ้าง เลิกชวนเพื่อน
นุ้ยถึงได้รู้ว่า  มันสุขมาอยู่ตรงนี้แหละ ตรงที่เรากล้าออกเดินทาง ไปเจอกับสิ่งใหม่ แล้วธรรมชาติจะมีอะไรเซอร์ไพรส์เราเสมอ

ที่นี้สวยเกินคำบรรยาย  ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้เห็นภาพที่เห็นด้วยตา
สายหมอกที่พริ้วไหว ไหลไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งแสงอรุณยามเช้าออกมาทักทาย จึงค่อยๆ คลายหายไป.

ออกจากภูลังกา  นุ้ยมุ่งหน้าไปยังอำเภอเชียงม่วน เพื่อไปวนอุทยานไดโนเสาร์
เป็นเป็นซากไดโนเสาร์ที่ค้นพบตัวแรก ในภาคเหนือ

ขับรถโดยประมาณ 2 ชม. เราก็มาถึงกันแล้วค่ะ
อำเภอเชียงม่วน ยังมีหลายสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านไทลื้อบ้านทุ่งหมอก, วัดฟ้าใต้, อุทยานดอยภูนาง
แต่วันนี้เราจะไปกันที่วนอุทยานไดโนเสาร์แก่งหลวง
ซากกระดูกไดโนเสาร์ที่ค้นพบเป็นกระดูกไดโนเสาร์ซอโรพอด ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ คอยาว หางยาว เดินสี่ขา ขนาดไดโนเสาร์น่าจะยาวตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป และคาดว่าจะมีชีวิตอยู่มาไม่น้อยกว่า 130 ล้านปี ซากกระดูกไดโนเสาร์ที่ถูกค้นพบแห่งนี้ก็จะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของโลกอีกชั้นหนึ่งการวิวัฒนาการของมนุษยชาติ คือ ฟอสซิลของลิงเอป(ลิงไม่มีหาง)อายุ 15 ล้านปี ถือเป็นกำเนิดเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ (ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia)
นี่คือไดโนเสาร์ที่สร้างจำลองขึ้น ใหญ่มากๆ

สำหรับจุดนี้คือจุดที่ค้นพบไดโนเสาร์

ชิ้นส่วนต่างๆ ของไดโนเสาร์ที่ค้นพบ

และบริเวณใกล้ๆ ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติแก่งหลวงอีกด้วย

แอบเสียดายที่ต้องเดินต่อไปพักในเมือง …ไม่งั้นได้สำรวจเส้นทางสวยๆ มาฝากกันแน่ ถ้าใครชอบแนวนี้แนะนำเลยคะ
ไปที่เดียวได้สองอารมณ์

สำหรับวันนี้เส้นทางอีกยาวไกล  ออกจากวนอุทยานไดโนเสาร์แก่งหลวง นุ้ยไปต่อที่อำเภอเมืองพะเยา
เพราะตั้งใจไปค้างคืนที่นั้น ใช้เวลาในการขับรถประมาณ 2 ชม.
ไปถึงนุ้ยเริ่มจากการขับรถเวียนเล่นรอบๆ กว๊านพะเยา ดูวิถีชีวิตผู้คน ริมกว๊าน  ก่อนออกหาที่พัก เพราะไม่ได้จองมาล่วงหน้า
เมื่อได้เวลาหาที่พัก  นุ้ยก็เลือกบริเวณแถวริมกว๊านเลยคะ หากเพื่อนๆ ไปเที่ยวในช่วงที่ไม่ใช้หน้าไฮ หรือหยุดยาว
นุ้ยแนะนำให้เล็งที่พักไว้ แล้วไปเลือกหาได้เลยเพราะริมกว๊านมีเยอะมาก
นุ้ยขับเวียนไปเวียนมาไปเจอที่นี้ ดูยังใหม่อยู่คิดว่าน่าจะเปิดได้ไม่นาน ลงไปสอบถามราคา ไม่แพง เพิ่มที่เสริมได้ด้วย
และมีที่จอดรถ
เดินเข้ามาด้านใน สีสันสดใสน่ารักเชียว
เจอพนักงสอบถามราคา  น่าสนใจ พนักงานน่ารักมากบอกว่าพี่คะ จะดูห้องก่อนไหม เผื่อพี่ไม่ชอบ ดูก่อนว่าเพิ่มที่นอนเสริมจะโอมั๊ยย
ไปดูสรุปได้ราคา ห้องละ 900 + ที่นอนเสริมอีก 300 พร้อมอาหารเช้า

ภายในห้องกว้างขวาง สะอาดมาก มีของใช้ครบ
มีมุมทำงานให้อีกหนึ่งมุม
ภายในห้องน้ำกว้าง แบ่งโซนเรียบร้อย และมีเครื่องใช้ยาสระผม สบู่ให้ครบ

มีราคามาให้ดูกัน

หลังจากพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการเดินทาง  ตอนเย็นนุ้ยออกมาเดินเล่นริมก๊วาน
อากาศดีมากๆ ลมเย็นพัดโชยมาตลอด
กว๊านพะเยา เปรียบเสมือนสวนสาธารณะ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในเมืองเลยก็ว่าได้

บ้างก็พาครอบครัวมานั่งเล่น  บ้างก็มาทานข้าว บ้างก็มาตกปลา บ้างก็มานั่งเมาท์รับลม

และบรรยกาศที่นี้ ยังเหมาะสำหรับบรรยากาศโรแมนติกอีกด้วย เพราะเราสามารถนั่งมองอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา แสงสีทองสะท้อนน้ำ

นอกจากจะมานั่งเล่นเดินเล่นแล้ว บริเวณนี้ยังมีวัดกลางน้ำให้เราได้ลงเรือไปกราบสัการะ แต่นุ้ยเลือกที่จะนั่งชิล ๆ ริมฝั่
มีเรือของนักท่องเที่ยว ที่ล่องเรือผ่านมาทางนี้เสียงดังเฮฮา พาให้คนนั่มองดูอดยิ้มตามไม่ได้

รอจนอาทิตย์ลับไป  นุ้ยขับรถออกไปทานอาหารที่ร้าน So Good ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก

ที่ร้านบรรยากาศดีมากๆ เพราะอยู่ริมกว๊านเหมือนกัน แสงสีของท้องฟ้ายามอัสดงแบบนี้สวยมากๆ

ระหว่างรออาหารนุ้ยยังคงยืนถ่ายรูปต่อไปเรื่อยๆ ดื่มด่ำ เสพอากาศดีๆ ตรงหน้า
และคงมีอีกหลายทีชีวิตที่ยังคงดำเนินต่อไป แม้ใกล้ค่ำแล้วก็ตาม
สั่งอาหารมาทั้งหมด 4 เมนู
เริ่มกันที่เมนูแรก กับเมนูเก๋ๆ มาม่าอบกุ้ง  ซึ่งปกติกส่วนใหญ่ เราจะเห็นเป็นวุ้นเส้น
สำหรับนุ้ยรสชาติดีนะ แต่นุ้ยแบบวุ้นเส้นมากว่า
จานที่สอง…เมนูนี้แปลกสำหรับนุ้ย คือฉู่ฉี่หมูแดดเดียวมะพร้าวอ่อน
จานที่สาม…ปลานิลทอดกระเทียมปลาตัวใหญ่มาก

และสุดท้ายจานนี้นุ้ยปลื้มมาก …กุ้งก้ามกรามทอดซอสมะขาม  เสิร์ฟมาพร้อมกับหมี่กรอบ อร่อยมากคะ

ค่าใช้จ่ายในมื้อนี้

หลังจากมื้ออาหารผ่านไป ก่อนกลับเข้านอน นุ้ยแวะไปเดินถนนคนเดินริมกว๊าน เพื่อเป็นการย่อยอาหาร
แต่วันนี้ของน้อย เนื่องจากมีงาน ประจำปีอยู่อีกที่


ปรากฎว่า ไม่ได้ช่วยย่อยอาหารเลยคะ เพราะนุ้ยได้ดันผลไม้กลับไปกินเพิ่มอีก
ตืนเช้ามาในอีกวันนุ้ยยังเลือกจะไปเดินเล่นริมกว๊านเพื่อกราบสักการะพ่อขุนงำเมือง
บรรยากาศยามเช้าสดชื่นมากๆ มีลมพัดโชยมาตลอด
และยังคงมีคนมั่งเล่น ทำกิจกรรมกันเพียบ มีรถขายของขายอาหารมาคอยให้บริการ
โปรแกรมของนุ้ยในวันนี้คือกลุ่มหัตกรรมผักตบชวา บ้านสันป่าม่วง
ตั้งใจไปซื้อกระเป๋าฝากคุณแม่
โอกาสดีเจอคุณลุงคุณป้ากำลังนั่งทำกระเป๋ากันอยู่


มีสินค้าให้เลือกหลายอย่างเลยคะ แถมราคายังถูกมากๆ ด้วย

อย่างใบนี้ราคา 190 บาทเอง ถูกสุด
ออกจากกลุ่มหัตกรรมผักตบชวา  นุ้ยไปต่อที่วัดอนาลโย ดอยบุษราคม
ทางขึ้นวัดสามารถขึ้นได้สองทาง คือทางรถ และทางบันได นุ้ยแวะจอดรถด้านล่าง เพื่อสำรวจทางบันได
มีร้านขายของเพียบเลย
และบริเวณใกล้ๆ กันมีวิหารจตุรมุข วังมัจฉา เป็นวิหารที่เงียบสงบมากๆ
มีคนมานั่งอ่านหนังสือ  บ้างก็มานั่งสมาธิ

เราไปเดินขึ้นบันไดไปวัดอนาลโยกันคะ
บันไดทางขึ้นสูงใช้ได้เลยละ

เดินมาได้นิดเดียวรู้ตัวในทันทีว่าขับรถขึ้นไปเถอะมันไกลมาก

ขับรถแปบเดียวมาถึงวัดด้านบนแล้ว  ตอนนี้กำลังมีการบูรณะ

วัดอนาลโยมีพื้นที่ทั้งหมด 2,800 ไร่  กว้างมากๆ  อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

เป็นอุทยานพระพุทธศาสนา  มีศาสนสถานที่สวยงามเช่น พระพุทธรูปศิลปสุโขทัย องค์ใหญ่ พระพุทธรูปปางต่างๆ พระพุทธลีลา พุทธคยา เก๋ง จีน ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม หอพระแก้วมรกตจำลองทำด้วยทองคำ ฯลฯ


และนอกจากเป็นศาสนสถานที่สวยงามแล้ว  เรายังสามารถบนเห็นวิวเมืองพะเยาได้อีกด้วยคะ

อีกหนึ่งสถานที่ ที่มาเที่ยวพะเยาแล้วห้ามพลาดคะ  อย่าลืมแวะมากราบสักการะเพื่อเป็นสิริมงคลกันนะคะ
สำหรับทริปนี้ เป็นอีกหนึ่งทริปที่นุ้ยได้รับประสบการณ์แปลกใหม่  ได้พบเจออะไรมากมาย
เพราะเป็นเส้นทางที่นุ้ยไม่เคยไปมาก่อน   ออกมาเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวกันนะคะ
เพราะการท่องเที่ยว  มักจะได้อะไรมากกว่าการท่องเที่ยว
ความสุข ความอิ่มเอม และมิตรภาพ มักได้กลับมาเสมอ
จากการด้วยภาพนี้   หลงรัก…ภาพพะเยาสุดท้าย …..ขอขอบคุณทุก ๆ การเดินทาง ที่สอนให้นุ้ยได้เรียนรู้ และรู้สึกรักทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น…..

ขอบคุณ สำหรับทุกกำลังใจ
ขอบคุณ สำหรับทุกความเห็น
ขอบคุณ สำหรับทุกไลค์
ขอบคุณ สำหรับทุกแชร์
ขอบคุณ สำหรับโหวต
ขอบคุณ สำหรับทุกคนที่แวะเวียนเข้ามา
ขอบคุณ สำหรับพื้นที่การแบ่งปันแห่งนี้

ปล. สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือพูดคุยทักทายกันได้ที่นี้ คะ
https://www.facebook.com/MyLifeMyTravel