วันพฤหัสบดี, 25 เมษายน 2567

สักครั้งที่ Sabah แล้วจะหลงรัก // Sabah, Malaysia

ทุกครั้งที่ได้เดินทางไปเยือนสถานที่ใหม่ๆ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล

มันก็ทำให้เรามีเลือดสูบฉีดมากกว่าที่เคย หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ

และครั้งนี้ก็เช่นกัน สำหรับทริป Sabah (ซาบาห์)  ประเทศมาเลเซีย

ไม่ใช่แค่เพียง…เป็นการเดินทางไปครั้งแรก

แต่สำหรับเมืองซาบาห์ แห่งนี้ แทบจะเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จัก ได้ยินชื่อ

มันจะตื่นเต้น และสนุกมากขนาดไหน … เราออกเดินทางไปกันเลยดีกว่า

 

 

 

สำหรับทริปนี้ได้รับคำชักชวนจากเพื่อนคนหนึ่ง

ซึ่งครั้งที่ได้ยินชื่อเมืองนี้ … เราถามซ้ำในทีที ว่าเมืองอะไรนะ  ชื่อมันไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่

เพื่อนบอกว่า ซาบาห์ คือรัฐ รัฐหนึ่ง ของประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว

เราสองคนก็ยังหน้ามึนๆ แต่คุยไปคุยมาสักพัก เราก็ถึงบางอ๋อ เมื่อได้ยินคำว่า โคตา คีนาบาลู ชื่อเมืองหลวงของรัฐซาบาห์

แต่จริงๆ เราไม่ได้รู้หรอกว่านั้นคือชื่อเมืองหลวง  .. แต่เราสองคนรู้จักเพราะนั่อคือชื่อภูเขาที่เราอยากไปพิชิต

แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นสายเดินเขา แต่เราก็ยังชอบที่จะทำอะไรท้าทาย

และนุ้ยเชื่อว่า หลายคนก็ร้องอ๋อ..เหมือนกันเมื่อได้ยินคำว่า โคตา คีนาบาลู

เตรียมตัวก่อนการเดินทาง

  1. คนไทยเข้าได้โดยใช้เพียง Passport   ไม่ต้องใช้วีซ่านะคะ  ตอนเข้าประเทศไม่ต้องกรอกเอกสาร
  2. สกุลเงินที่ใช้คือ ริงกิต  โดย 1 ริงกิต = 7.9 บาท (ตอนคิดนุ้ยก็ใช้วิธีง่าย 1 ริงกิต = 8 บาทไปเลย)
  3. เวลาเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง
  4. ปลั๊กไฟ ใช้แบบ 3 ขาสีเหลี่ยมแบน ๆ ควรเตรียมปลั๊กยูนิเวอร์เซลไปนะคะ
  5. อินเตอร์เน็ตที่โน่นมีซิมขายที่สนามบิน แต่สำหรับนุ้ย นุ้ยเลือกซื้อ Sim2fly ไปจากไทย

และการจองที่พักนุ้ยเลือจองผ่านแอพพลิเคชั่น HotelsCombined

แอพพลิเคชั่นสำหรับเปรียบเทียบและจองโรงแรม รับประกันราคาดีที่สุด

ลองดาวน์โหลดมาใช้ดูกันนะ ทั้ง   IOS และ  Android

 ที่ลิงค์นี้ >>> https://goo.gl/4K1av7

 

สำหรับแผนในทริปนี้ นุ้ยจัดแบบหลวมๆ เพื่อเราได้เมีเวลาชิลล์

แผนการเดินทาง
 
 Day1 : Phuket – KL – Kota Kinabalu (สำหรับคนที่เดินทางจากกรุงเทพ มีทั้งแบบบินตรง และแวะที่ KL นะคะ)
 
Day2 : Kinabalu Park, Desa Cattle Farm , Sabah Tea Garden, North Borneo Cruise with dinner
 
Day3 : Mari Mari Cultural Villageg, City Tour
 
Day4 : แวะเที่ยว KL ต่อ 1 วัน ก่อนบินกลับไทย

การเดินทางทริปนี้ เราใช้บริการของใช้สายการบิน มาเลเซียแอร์ไลน์

และนี้ก็เป็นครั้งแรกกับการใช้สายการบินนี้ด้วย  การเดินทางไป Sabah จะมีทั้งแบบบินตรงและบินไปเปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์

ซึ่งถ้าหากเราบินจากกรุงเทพแล้วละก็ สายการบินที่มีบินตรงคือสายการบินไทยสไมล์

ส่วนที่เหลือก็จะแวะไปเปลี่ยนเครื่องที่ KL  แต่มันก็เป็นข้อดีนะ ขากลับจะได้แวะเที่ยวถ่ายรูปกับตึกแฝดสักหน่อย

มาเลเซียแอร์ไลน์เป็นสายการบินฟูลเซอร์วิส ก็จะสบายหน่อย เดินทางหลายชั่วโมงก็ไม่หวั่น

มีอาหารให้ทาน  มีหนังให้ดู  แต่ส่วนใหญ่เมื่ออิ่มแล้วก็หลับยาวจ้า

วันนี้เราใช้เวลาเดินทางค่อนข้างเยอะ เพราะเกิดปัญหาระหว่างการเปลี่ยนเครื่องนิดหน่อย

มาถึงโคตา คีนาบาลู ก็ค่ำเลยทีเดียว  แต่ก็ไม่ได้ผิดแผนมากมายนัก เพราะวันแรก เราไม่ตั้งวางแผนสถานที่ท่องเที่ยวไว้

มีแค่แผนสำหรับการไปทานอาหารพื้นเมืองและเข้าที่พักเลย

ซึ่งสนามบินไปยังที่พักของเราก็ใช้เวลาเดินทางแค่ประมาณ 15 นาทีเท่านั้น

แต่ยังไงก็แวะทานข้าวเลยแล้วกัน  วันนี้เราทานกันที่ร้าน D’Place ที่ Plaza Shell เป็นร้านอาหารพื้นเมืองแบบดั้งเดิม

การตกแต่งร้านเป็นลักษณะคล้ายชนเผา  

ซึ่งร้านนี้เป็นบุฟเฟ่ต์ ลูกค้าค่อนข้างเยอะ มีการแสดงด้วยนะ กินไปดูไปมันก็เพลินดี

สำหรับอาหาร ไม่ต่างจากบ้านเรามากนัก ไม่มีกลิ่นเครื่องเทศรุนแรง

รสชาติอร่อยเลยทีเดียว บางอย่างหน้าตาดูแปลกๆ ก็มีแบบไม่กล้ากินในตอนแรกนะ

แต่พอลองกิน …มันก็อร่อยดี

และปิดท้ายด้วยการแสดงแบบพื้นเมือง

หลังจากทานข้าวเสร็จ ตรงดิ่งเข้าที่พักเลยจ้า เพราะเกือบจะ 3 ทุ่มแล้ว

พักเอาแรงไว้สำหรับวันถัดไป …. ถึงที่พักเป็นอันสลบ

Day .2

เข้าวันนี้เราตื่นมาตั้งแต่เช้า อากาศวันนี้ดีมากๆ เลย

ตื่นมาเช้าพาสำรวจที่พักกันเลยแล้วกัน

ที่พักของเราในทริปนี้ชื่อ Grandis Hotels & Resorts นุ้ยกับต้นพักที่นี่ตลอด 3 คืนเลยค่ะ

ที่พักตั้งอยู่กลางเมืองเลยจ้า  ทำเลดีสุดๆ

ติดกับห้างสรรพสินค้า แหล่งช้อปปิ้ง เดินมาหน้าโรงแรมเจอสตาร์บั๊คทันที คือดีต่อใจมาก

และที่ดีกว่านั้นคือ ซีวิวจ้า  เห็นทะเลตั้งแต่อยู่บนเตียงเลยทีเดียว

ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังติดทะเล

โรงแรมมีสระว่ายน้ำอยู่ที่ชั้นบนสุด ซึ่งติดกันเป็นร้านอาหารและบาร์ 

เช้าๆ แบบนี้ บริเวณนี้ยังเงียบอยู่ 

อาหารเช้าเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ไลน์อาหารค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว

ออกเดินทางกันสำหรับทริปวันนี้  ไกด์ของเราชื่อจีจี้

จีจี้นัดเราตอน 8.30 น.  ที่หน้าโรงแรม  ออกมาปุ๊บก็เจอจีจี้ จอดรถรออยู่ 

.

แพลนของเราค่อนข้างแน่นเลยทีเดียวมีทั้งไปขึ้นเขา จิบชา ล่องเรือ ให้นมวัว

แหม่ … เมืองนี้มันมีความหลากหลายดีแท้

ซึ่งปลายทางแรกของวันนี้เราจะไปกันที่ Desa Cattle Dairy

ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนานเลยทีเดียว หลับได้สักตื่นสักตื่น 

แต่ก็หลับไม่หลง ระหว่างทางสวยมาก เห็นวิวภูเขาคินาบาลูตลอดเส้นทาง 

จีจี้พาเราแวะถ่ายรูปตรงจุดชมวิวด้วย 

และอีกไม่นานก็มาถึงปลายทางแรกตามที่ตั้งในใจไว้นั่นคือ Desa Cattle Dairy  Farm 

ทริปนี้นุ้ยเป็นคนจัดแพลน จริงๆ นุ้ยก็จัดเองทุกทริปแหละ แต่นุ้ยบอกต้นว่า 

สถานที่ ที่เราจะไปเนี๊ยะมันคือฟาร์มโคนม  แต่ไม่ได้อธิบายต่อว่าทำไมต้องไป 

ส่วนต้นก็คิดไปต่างๆ นานาๆ ว่ามันต้องเหมือนฟาร์มโชคชัยบ้างล่ะ  จะไปดูโคนมทำไมถึงมาเลไรงี้ 

Desa Cattle Dairy  Farm  จะมีค่าเข้าชมคนละ 5 ริงกิต

แต่พอมาเห็นของจริง 

เฮ้ย !  พร้อมทำตาโตๆ หมดลุกความเป็นหนุ่มตี้ 

แล้วพูดว่า  …… นี่มันสวิตเซอร์แลนด์ชัดๆ 

เพราะสิ่งที่เราเห็นตรงหน้าคือ 

ทุ่งหญ้ากว้าง ด้านหลังคือภูเขาสูงใหญ่ เมฆหมอกลอยผ่าน 

มันใช่เลย…มันสวยมาก … มันสวยเกินกว่าที่เราคิดไว้ 

หลังจากเดินเล่นรอบๆ ฟาร์มเปิดแล้ว 

เดินเข้าไปดูในโรงเรือนกันบ้าง ไปให้นมวัว นมแพะกันสักหน่อย

ค่านมขวดละ 1 ริงกิต ถ้าจำไม่ผิดนะ

ทุกตัวมีความหิวโหยมาก ดึงขวดนมหลุดจากมือกันเลยทีเดียว 

มีความจิกกล้อง 

เดินวนไปจนถึงโซนร้านค้า 

แน่นอนว่าเราสองคนจะไม่มีทางพลาด ไอศครีม

ราคาตามป้ายเลยค่ะ รสช็อคโกแลตหมด เหลือแต่รสโยเกิร์ต

และขอคอนเฟิร์มว่ามันอร่ยอมาก  ชอบๆ 

และแล้วถึงเวลาของการออกเดินทางต่อ 

สำหรับที่ต่อไป นั่นคือ Sabah Tea Garden 

ใช้เวลาเดินทางจากจุดแรกค่อนข้างนานเหมือนกัน เพราะต้องขับรถไปตามไหล่เขา 

และวันนี้เป็นวันที่ฝนตกหนักซะด้วย   ทำเอาเราสองคนเผลอหลับไปแบบไม่รู้ตัว 

รู้สึกอีกที ถึงแล้ว Sabah Tea Garden 

เป็นไร่ชาขนาดใหญ่ บนภูเขานับสิบๆ ลูก 

จีจี้บอกเราสองคนว่า  เป็นชาที่ดีที่สุด เป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะที่ซาบาห์เท่านั้น

มีร้านอาหารที่ให้บริการชา และขนม 

วันนี้เราเลือกมา 2 แก้วเป็นแบบออริจินอล 

มีแบบใส่นม และไม่ใส่นม กลิ่นหอมเตะจมูกมาก รสชาติดีเลยทีเดียว 

อุ่นๆ หอม ๆ หวานนิดๆ ตอนฝนตกๆ แบบนี้ ฟินมาก 

สั่งสโคนมาด้วย  ตอนเสิร์ฟ แอบเห็นว่าเสิร์ฟมาเป็นเซ็ตคล้าย afternoon tea

แต่มีคนสั่งเยอะมากจนเซ็ตไม่พอต้องใส่จานมาเสิร์ฟแทน

และเครปชาเขียวน้ำผึ้ง 

ออกมาเดินเล่นสูดอากาศ  หลังจากฝนหยุดตก 

อากาศสดชื่นมากๆ 

เราใช้เวลาอยู่ที่ไร่ชานานพอสมควร 

จนจีจี้มาบอกว่า …เราต้องไปกันแล้วหล่ะ เดี๋ยวจะลงเรือไม่ทัน

และหลังจากนั้น …. ก็เหมือน fast and furious เลยจ้า   มุ่งหน้าสู่  Marina Jetty

และเราก็มาถึงทันเวลา  เพื่อที่จะลงเรือไปล่องทะเลดูพระอาทิตย์ ด้วย  North Borneo Cruise

บนเรือจะมีอาหารให้บริการแบบบุฟเฟ่ต์ เติมไม่อั้นตลอดเวลาที่อยู่บนเรือเลยค่ะ 

มีทั้งอาหารคาวหวาน เบเกอรี่ สลัดผลไม้ ชากาแฟ  แต่ถ้าหากเป็นแอลกอฮอล์ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 

อิ่มแล้วก็ไปนั่งดูวิว ดูฟ้า ดูตะวัน ดูทะเลกันบนดาดฟ้าดีกว่า 

แอบเสียใจเล็กๆ ที่ในวันนี้ฟ้ามืดมนมาก  ฝนกำลังตก

เหมือนเรือทั้งลำเป็นของเรา เพราะคนอื่นยังคงทานอาหารกันอยู่ด้านล่าง 

เราขึ้นมาถ่ายรูปก่อน พอคนอื่นขึ้นมา  เราค่อยลงไปทานอาหารต่อ 

มันก็จะชิลล์ ๆ ฟินๆ มากับแฟน ยังไงก็โรแมนติกเนอะ 

จบวันแรกแบบสลบเลยจ้า  ทั้งขึ้นเขาลงทะเล ครบมากจริงๆ วันนี้  เจอกันพรุ่งนี้อีกที

Day 3 

วันนี้ จีจี้นัดพวกเราตอน 9 โมงเช้า  ตอนสายได้สบาย 

นั่งกินอาหารเช้าแบบชิลล์  รอจนกว่าจะถึงเวลามารับ 

โปรแกรมของเราวันนี้ไม่มีอะไรมาค่ะ  เราตั้งใจจะไป Mari Mari Cultural Village  ในช่วงเช้า

และในช่วงบ่าย จะเป็นพาเที่ยวในเมืองโคตาคีนาบาลู 

Mari Mari Cultural Village เป็นหมู่บ้านชนเผ่าดั้งเดิมของเกาะบอร์เนียว 

ห่างจากที่พักของเราประมาณ 50 นาที(ในกรณีที่รถติดนะคะ) 

เพราะวันนี้เรามาถึงก่อนใครเลย  ใช้เวลาเดินทางบนท้องถนนที่โล่งๆ เพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น 

Mari Mari Cultural Village เป็นพื้นที่จำลองสำหรับจัดแสดง

เกี่ยวกับวิถีชีวิตของ 5 ชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมบนเกาะบอเนียว  

พื้นที่ตรงนี้ตั้งอยู่บนเขา ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เขียวชอุ่ม มาก่อนใครก็ได้เดินเล่นรอบๆ ก่อน 

ดูข้อมูลเพิ่มเติม

http://marimariculturalvillage.com/

.

โปรแกรมการร่วมกิจกรรมของที่นี้ 

จะเป็นแบ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวออกเป็นกลุ่มๆ ซึ่งกลุ่มไหนมาน้อยก็จะต้องรวมกับกลุ่มอื่น 

อย่างเราไปกันแค่ 2 คน ก็ต้องไปจอยกับคณะอื่น  

ก่อนเข้าไปในมีหมู่ แต่กลุ่มจะมีไกด์ประจำ ค่อยแนะนำ และอธิบายเรื่องราวต่างๆ ภายในหมู่บ้าน 

และไม่ต้องแปลกใจหากระหว่างเดินอยู่ในหมู่บ้าน จะได้ยินไกด์พูดว่า mari mari อยู่บ่อยๆ 

เพราะคำนี้หมายถึงคำว่า come come หรือ  มา มา ตามมานี่ อะไรประมานี้แหละ 

.

เรื่องราวในหมูบ้านจะถูกแบ่งเป็นจุดกิจกรรม 

อธิบายวิถีชีวิต  ตั้งแต่บ้านเรือนอยู่อาศัย อาชีพการทำมหากิน  และอาหารกินของแต่ละชนเผา 

.

ตอนแรกคิดว่าข้าวหลาว แต่พอลองกินคือมันฝรั่งและมะเขือเทศ

ปรุงรสหวานหน่อยๆ อร่อยดี 

นี่คือมินิบาร์ในจินตนาการของแอ้นท์  ไกด์ประจำกรุ๊ปเราในวันนี้ 

ที่เราเห็นอยู่นี้คือการนำเปลือกไม้มาทำเสื้อคลุม 

แทบไม่หน้าเจอว่า เปลือกไม้ที่เราเห็นๆ จะเป็นได้แบบนี้ 

แต่กว่าจะได้เสื้อสักตัวก็ต้องผ่านหลายขั้นตอนเหมือนกัน 

เราตื่นเต้นทุกครั้งตอนได้ชิม  และนี่คือขนมอะไรสักอย่างวิธีการทำคล้ายๆ ขนมลา

แต่จะเป็นขนมลาโซนภูเก็ตนะ กรอบๆ หวานๆ 

จุดนี้เป็นจุดที่ทำให้เราสนุก เพราะได้ลองไปกระโดดเด้งดึงอยู่บนนั้น

ซึ่งจริงๆ แล้วจุดนี้เป็นประเพณีรับรางวัลจากหัวหน้าหมู่บ้านสำหรับนักรบที่ออกไปรบมา

ของรางวัลจะถูกแขวนไว้บนที่สูง โดยให้นักรบกระโดดคว้ามาให้ได้ 

มีเพ้นท์ลายด้วย จะอยู่ได้ประมาณ 5 – 7 วัน 

สุดท้ายจะเป็นการแสดง สนุกดี  มีการแสดงบางอย่างคล้ายบ้านเรา 

อย่างราวกระทบไม้ แต่ที่นี่จะเรียกว่าแบมบูแด๊นซ์  ซึ่งแด๊นซ์ได้มันมากๆ 

เป็นราวกระทบไม้เวอร์ชั่นที่เร็วที่สุด เท่าที่เคยดูมา 

และปิดท้ายด้วยอาหารเที่ยงแบบบุฟเฟ่ต์  ก่อนแยกย้ายกันกลับ 

.

นุ้ยกลับมาถึงโรงแรมตอนเกือบบ่ายสอง พร้อมฝนที่ตกอย่างหนัก 

และในช่วงบ่ายนี้ก็ดันเป็นช่วงฟรีของเราที่แยกกับจีจี้ซะด้วย 

มันจึงกลายเป็นช่วงเวลาของการช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าใกล้โรงแรม

 เมื่อฝนเริ่มซา เราเริ่มออกไปเดินเล่น แต่ก็ไปได้ไม่ไกลนักเพราะฝนยังหยุดไม่สนิท    

.

นุ้ยเลือกที่จะไปกินบะกุ๊ดเต๋เจ้าดัง ….  คนแน่นร้านต้องยืนรอคิวกันยาวเลย 

แต่โชคดีที่เราไปกันแค่ 2 คน สามารถขอจอยกับโต๊ะอื่นที่มากันแค่ 2 คนเหมือนกันได้ 

ได้กินแบบไม่ต้องรอคิว 

.

บะกุ๊ดเต๋ จะเป็นน้ำซุปใสๆ สีเข้มๆหน่อย มีเครื่องในหมูลูกชิ้น และกระดูกหมูตุ๋น   

นี่เป็นเมนูหมูมื้อแรกตั้งแต่มาเลยก็ว่าได้ 

.

นี่มากัน 2 คน สั่งไป 4 อย่าง ตอนสั่งลืมคิด 

แต่ตอนมาเสิร์ฟ สตั๊นไป 10 วิเลยทีเดียว 

ร้านนี้ เมนูดังคือ บะกุ๊ดเต๋  แต่เมนูที่นุ้ยชอบดันเป็นขาหมูคากิ แะลหมูอบซีอิ้ว 

.

กินอิ่มเดินกลับที่พัก 

พึ่งสังเกตุว่าห้างฯ ข้างโรงแรมเรามันใหญ่มาก นี่อาจจะเป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเลยก็ว่าได้ 

จนตอนค่ะ จีจี้กลับมารับเราไปทานข้าวอีกรอบ 

เราบอกจีจี้ว่าอยากไป Hard rock cafe แต่เราลืมระบุสาขาไง 

จีจี้พามาสาขานี้หรูหราไปอีกคะคุณ  เพราะร้านที่เล็งไว้ตั้งแต่เป็นเพียงสาขาเล็กๆ ริมทะเลเท่านั้น 

แต่ไม่เป็นไร มาแล้วก็จัดค่ะ อย่าให้เสีย   บอกจีจี้ กลับได้เลยไม่ต้องรอ  

เพราะระหว่างทางนั่งรถมา … เราสังเกตุเห็นไนท์มาเก็ตตลอดทาง และห่างจากที่พักเราเพียงแค่นิดเดียว 

.

บรรยากาศดีอาหารอร่อย   มีที่นั่งให้เลือกทั้งอินดอร์ และเอ้าดอร์  

แต่คืนนี้ขอหน้าเวทีละกัน จะได้เห็นหน้านักร้องชัดๆ 

ออกจากร้านเดินตรงตามถนนไปเรื่อยๆ 

มีไนท์มาเก็ตตลอดทางเลยคะทั้งตลาดผัก สตรีทฟู๊ดเพียบ  และมาเจอโซนอาหารทะเลด้วย

นักท่องเที่ยวมาอยู่ที่นี่กันเยอะมาก อาหารทะเลสดๆ ทั้งนั้น 

แต่ท้องรับไม่ไหวแล้ว  จริงๆ ก็ชวนต้นลองนั่นแหละ  

แต่ต้นปฏิเสธเสียงแข็ง  ได้แต่เดินมอง  รอบหน้านะ จะมากินโซนนี้ 

เดินเล่นเรื่อยๆ มาเจอกับดักลูกโป่งไฟ  

หลงกลซื้อมาในราคา 25 ริงกิต แต่มันสวยไง  

ไม่ใช่เด็กก็เล่นลูกโป่งได้เนอะ  

นี่เป็นวันที่ สามแล้วเหรอ เวลาผ่านไปเร็วมากๆ  

พรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว  อยากอยู่ต่ออีกสัก 2 วัน ยังไม่ได้ออกไปดำน้ำที่เกาะไหนสักเกาะเลย 

ยังไม่ได้ปีนเขาเลย  ยังไม่ได้ทานร้านอร่อยอีกหลายร้าน 

Last Day 

วันสุดท้ายที่เราไม่ได้ไปเที่ยวไหน  เพราะไฟลท์บินที่จองไว้เป็นไฟลท์เช้า 

เป็นทริปที่สนุกมาก แม้เวลาเราจะมีน้อยไปนิด 

ได้เจอมาเลเซียในอีกหนึ่งมุมมอง ที่เราแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง 

ขอบคุณการท่องเที่ยวซาบาห์ที่ชวนเรามาเที่ยว 

ขอบคุณเพื่อนที่ชักชวน

ขอบคุณจีจี้ที่ดูแลเราดีตลอดทริป 

ขอบคุณคนข้างๆ ที่ไปด้วยกันทุกๆ ที 

// ไปเหอะ ซาบาห์  แล้วจะไม่ผิดหวัง   

……….

ติดตามเรา  Nui ka ton แฟนพาเที่ยว  

Fanpage : https://www.facebook.com/MyLifeMyTravels

WebSite : www.mylifemytravels.com

Youtube : https://goo.gl/0bnw9a

Instagram: https://goo.gl/G7qsVC

….

สนใจติดต่องานได้ที่

E-Mail :  mylifemytravels@gmail.com

Tel.  :  094-5929142

#แฟนพาเที่ยว #mylifemytravel #NuiKaTon #Coupletravelers